เผยผิวสวย ไร้ริ้วรอยด้วย Picosecond Laser
Picosecond Laser ปรับสภาพผิวให้กระจ่างใสเรียบเนียน
Picosecond Laser คือ เลเซอร์รักษากระ จุดด่างดำ ลบรอยสัก ปรับสีผิวให้กระจ่างใส ไร้ริ้วรอย และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวเรียบเนียน ซึ่งเพิ่งเข้ามาในไทยได้ไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดย Picosecond Laser สามารถยิงพลังงานที่สูงในช่วงระยะเวลาที่สั้นมาก ทำให้เม็ดสีแตกตัวได้อย่างละเอียด จึงใช้เวลาในการรักษาน้อยกว่าเครื่องเลเซอร์ในระบบเดิม (เช่น Q-Switched Laser ซึ่งเป็นเทคโนโลยีชนิดเก่า)
Picosecond Laser ปล่อยแสงเลเซอร์ในระยะเวลา (pulse duration) 750 พิโควินาที (picosecond) ทำให้เกิดปฏิกิริยาที่เรียกว่า photo-acoustic เพื่อกำจัดเม็ดสีของรอยโรคหรือรอยสักที่ต้องการรักษาโดยไม่ก่อให้เกิดความร้อนขึ้นใต้ผิว ไม่ก่อให้เกิดแผลเป็นหรือต้องใช้ระยะเวลาพักฟื้นหลังเข้ารับการรักษา
จุดเด่น Pico Laser
หลักการทำงานคือการให้กำเนิดความยาวคลื่นในช่วงนาโนเมตรที่เฉพาะเจาะจงกับปัญหา โดยปล่อยแสงเลเซอร์ที่มีระยะเวลา (pulse duration) 750 พิโควินาที (picosecond) ทำให้เกิดปฏิกิริยาที่เรียกว่า photo-acoustic ทำให้เม็ดสีของน้ำหมึก (tattoo ink particles) หรือเม็ดสีเมลานิน (melanin) แตกตัวออกเพื่อให้ร่างกายกำจัดออกจากร่างกายโดยระบบน้ำเหลืองตามกลไกธรรมชาติ
ซึ่งพลังงานครอบคลุมต่อการรักษาความผิดปกติของเม็ดสี, รอยสักทั้งสีอ่อนและสีเข้ม ทั้งยังได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาของประเทศสหรัฐอเมริกา (US FDA) ว่ามีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการรักษาปัญหาหลากหลาย เช่น
- ใช้เพื่อรักษาความผิดปกติของเม็ดสี (Benign pigmented lesions) เช่น กระตื้น (Freckles), กระแดด (Solar lentigines), ปานโอตะ (Nevus of Ota), กระลึก (Hori’s Nevus)
ช่วยให้ผิวกระจ่างขึ้น สีผิวสม่ำเสมอขึ้น (Skin Revitalization) และรักษาฝ้า (Melasma) ได้ - ช่วยให้ผิวกระจ่างขึ้น สีผิวสม่ำเสมอขึ้น (Skin Revitalization) และรักษาฝ้า (Melasma) ได้
- มีหัวยิงพิเศษ Micro Lens Array (MLA) หรือ หัวทองคำ ซึ่งเป็นเลนส์เอกสิทธิ์เฉพาะหนึ่งเดียวในโลก เปลี่ยนพลังงานแสงเป็นแรงอัดกระแทกความเร็วสูง สร้างลูกโป่งใต้ชั้นผิว ทำให้พังผืดหลุมสิวขาดออกจากกันโดยไม่ต้องใช้เข็มแบบวิธีเดิม ๆ และยังช่วยปรับความเรียบเนียนของผิว (Texture), ลดเลือนริ้วรอย (Wrinkles), กระตุ้นการจัดเรียงตัวของคอลลาเจน (Collagen Remodeling), รักษาแผลเป็นหลุมสิว (Acne Scars) และ แผลเป็น (Traumatic Scars) ได้
- รักษารอยสักสีเข้ม (Dark colored tattoo inks), รักษารอยสักสีอ่อน (Lighter colored tattoo inks) ได้
ความรู้สึกขณะทำ Pico Laser เจ็บหรือไม่
คนไข้จะรู้สึกดีดเบา ๆ ที่ผิว โดยเฉพาะบริเวณที่มีเม็ดสีที่ผิดปกติ และอาจรู้สึกเพิ่มขึ้นในรอยสักที่มีเม็ดสีหนาแน่น ทั้งนี้ ขณะทำการรักษา จะมีการเป่าลมเย็นเพื่อให้ผู้เข้ารับการรักษารู้สึกสบายผิวขึ้น ระดับความเจ็บน้อย (2/10) จึงไม่จำเป็นต้องทายาชา แต่สามารถทายาชาได้หากกังวลว่าจะเจ็บ
อย่างไรก็ดี ผู้ที่รักษาหลุมสิว รูขุมขนกว้าง จำเป็นต้องใช้พลังงานที่ลงลึกกว่าการรักษาแบบอื่น จึงต้องทายาชาทิ้งไว้ก่อนการเลเซอร์ประมาณ 30-45 นาที เพื่อลดความเจ็บ และหลังรักษาอาจมีอาการช้ำ (purpura) หรือ มีรอยจ้ำหรือเกิดจุดเลือดออกใต้ผิว (petechiae/pinpoint bleeding) ซึ่งรอยนี้จะหายได้เอง โดยเฉลี่ย 3-7 วัน
Pico Laser ใช้รักษาอะไรได้บ้าง
- รักษาผิวหมองคล้ำที่ใบหน้า ต้องการผิวกระจ่างขึ้น สีผิวสม่ำเสมอขึ้น ดูมีออร่า (Skin Revitalization) ตื่นเช้ามาดูสดใสทันที (Wake up confident)
- รักษากระบริเวณใบหน้า แขน หลังมือ หรือตามลำตัว (Pigmented lesions)
- รักษารอยโรคสีดำ ได้แก่ ฝ้า (Melasma) กระตื้น (Freckle) กระลึก (Hori’s Nevus) กระแดด (Solar lentigo)
- รักษาจุดด่างดำจากการอักเสบบนใบหน้าและลำตัว (PIH) เช่น รอยดำสิว รอยดำจากการแกะเกา เป็นต้น
- ลบรอยสัก เช่น รอยสักตามตัว รอยสักที่คิ้ว (Tattoo Removal)
- รักษาผิวคล้ำบริเวณริมฝีปาก รักแร้ และฐานนม (Skin Rejuvenation)
- ต้องการรักษารอยดำจากอุบัติเหตุ รอยแผลเป็นตามร่างกาย (Traumatic Scars) โดยไม่อยากรับการรักษาที่มีสะเก็ดหรือดูแลตัวเองยาก
- ลดหน้ามัน กระชับรูขุมขนที่กว้าง ให้ดูเรียบเนียน (Reduce Pore Size)
- ลดริ้วรอย (Wrinkles) ปรับความเรียบเนียนของผิว (Texture) กระตุ้นคอลลาเจน ให้ผิวหนังแข็งแรง (Collagen Remodeling)
- รักษาหลุมสิว (Acne Scars) โดยไม่อยากรับการรักษาที่มีสะเก็ดหรือดูแลตัวเองยาก
- รักษารอยแตกลาย (Stretch Marks)
- ลบปานดำ ปานโอตะ (Nevus of Ota)
ใครที่ไม่เหมาะที่จะทำ Pico Laser
- ผู้ที่ตั้งครรภ์
- ผู้ที่กำลังรับการรักษาโรคมะเร็งผิวหนัง
- ผู้ที่เข้ารับการรักษา Gold therapy อาจทำให้เกิดสีที่ไม่สม่ำเสมอเป็นสีน้ำเงิน-เทา (blue-gray discoloration)
- ผู้ที่สักสีที่ใบหน้ามา เช่น BB Glow เป็นต้น
- ผู้ที่ได้รับยากลุ่มที่ป้องกันการแข็งตัวของเลือด (Anticoagulants) อาจทำให้เพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดรอยช้ำหรือจ้ำได้ (purpura or bruising)
- ผู้ที่มีเลือดออกผิดปกติ (Bleeding disorders)
- ผู้ที่เป็นโรคด่างขาว (Vitiligo) หรือผู้ที่มีการสร้างเม็ดสีที่ผิดปกติ (Pigmentary disorders)
- ผู้ที่มีอาการของโรคเริม (Herpes) ความร้อนที่เกิดขึ้นระหว่างการทำการรักษาสามารถกระตุ้นรอยโรคได้ แนะนำให้รับประทานยาต้านไวรัส (antiviral) ก่อนเข้ารับการรักษา
- ผู้ที่มีแผลติดเชื้อ
- ผู้ที่มีแผลเปิด แนะนำให้ทำการรักษาได้เฉพาะในบริเวณที่ผิวแข็งแรง
- ผู้ที่มีประวัติของโรคลมชักที่สามารถกระตุ้นได้ด้วยแสง